สละเวลาก่อนออกตัวสักนิดปลอดภัยแน่นอน ก่อนขับรถทางไกลต้องตรวจเช็กสภาพรถอะไรบ้าง? เพื่อที่จะได้ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลอุบัติเหตุ
ก่อนขับรถทางไกลต้องตรวจเช็กสภาพรถอะไรบ้าง?
ใครที่กำลังจะเดินทางไปเที่ยงต่างจังหวัดต้องอ่าน! ก่อนขับรถทางไกลต้องตรวจเช็กสภาพรถอะไรบ้าง? เพื่อที่จะได้ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลอุบัติเหตุ สละเวลาก่อนออกตัวสักนิดปลอดภัยแน่นอน
ตรวจสภาพลมยาง
ก่อนขับรถทางไกล เรื่องของลมยางยิ่งละเลยไม่ได้เลย ก่อนออกเดินทางให้คุณแวะเช็กลมยางที่จุดบริการตามปั๊มน้ำมันก่อน ถ้าจะให้ดีให้เติมลมยางไว้ล่วงหน้า 1 วัน เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาในการเดินทาง เผื่อไว้ในกรณีที่มีรถเข้ามาใช้บริการจุดเติมลมหนาแน่น หากคุณเติมลมในวันที่เดินทาง อาจทำให้เสียเวลารอคิวนานได้ ซึ่งวิธีการเติมลมยางสำหรับการขับรถทางไกล จะต้องเพิ่มลมยางอีกประมาณ 3-5 PSI จากปกติมาตรฐานของการเติมลมจะอยู่ที่ 32-35 PSI การเพิ่มลมยางมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสารบนรถ
ตรวจสภาพที่ปัดน้ำฝน
ที่ปัดน้ำฝนเป็นจุดที่หลายคนมองข้าม แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการขับรถทางไกล โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ซึ่งอากาศประเทศไทยนั้นมีความแปรปรวนอยู่เสมอ ฟ้าสดใสอยู่ดี ๆ ฝนดันตกลงมาซะงั้น หากที่ปัดน้ำฝนของคุณเสื่อมสภาพแล้ว จะไม่สามารถช่วยปัดน้ำฝนได้ดี ฝนที่ตกลงมาจะไปบังทัศนวิสัยในการขับขี่ ทำให้คุณมองเห็นทางไม่ชัด เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นก่อนขับรถทางไกล ต้องตรวจดูสภาพที่ปัดน้ำฝนก่อนออกเดินทางหลายวัน เพราะหากที่ปัดน้ำฝนของคุณเสื่อมสภาพแล้ว จะได้หาชิ้นส่วนใหม่มาเปลี่ยนทันก่อนการเดินทาง
ตรวจสถานะแบตเตอรี่รถยนต์
แบตเตอรี่ทุกลูกจะมีช่องตาแมว เอาไว้เช็กสถานะของแบตเตอรี่ลูกนั้น ๆ ว่าอยู่ในสถานะใด ให้ทำการตรวจสถานะของแบตเตอรี่รถยนต์ ก่อการขับรถทางไกลทุกครั้ง โดยวิธีการอ่านสถานะแบตเตอรี่แต่ละลูกอาจมีไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น
- แบตเตอรี่ที่ใช้ตาแมว เป็นสีเขียว/ขาว/แดง
- สีเขียว หมายถึง มีกระแสไฟเต็มปกติ
- สีขาว หมายถึง กระแสไฟอ่อน
- สีแดง หมายถึง ให้เติมน้ำกลั่นเพิ่ม
- แบตเตอรี่ที่ใช้ตาแมว เป็นสีน้ำเงิน/ขาว/แดง
- สีน้ำเงิน หมายถึง มีกระแสไฟเต็มปกติ
- สีขาว หมายถึง กระแสไฟอ่อน
- สีแดง หมายถึง ให้เติมน้ำกลั่นเพิ่ม
- แบตเตอรี่ที่ใช้ตาแมว เป็นสี/เขียว/ขาว/ดำ
- สีเขียว หมายถึง มีกระแสไฟเต็มปกติ
- สีดำ หมายถึงกระแสไฟอ่อน
- สีขาว หมายถึง แบตเตอรี่เสีย
หาแบตเตอรี่มีกระแสไฟฟ้าอ่อน ให้นำแบตเตอรี่ไปชาร์จไฟให้เรียบร้อย และเติมน้ำกลั่นเข้าไปหากปริมาณน้ำกลั่นลด
เช็กหม้อน้ำไม่ให้แห้งและดูว่ารั่วหรือไม่
หม้อน้ำเป็นจุดที่ต้องตรวจดูเป็นประจำทุกครั้งก่อนการใช้รถ ให้ทำการตรวจสอบหม้อน้ำของคุณก่อนการขับรถทางไกลตรวจเช็กระดับน้ำในหม้อน้ำไม่ให้ต่ำหรือสูงเกินระดับ และตรวจสอบว่าหม้อน้ำรั่วหรือไม่ ด้วยการดูว่าน้ำในหม้อน้ำลดเร็วกว่าปกติ หรือมีน้ำเจิ่งนองที่พื้นบริเวณช่วงห้องเครื่อง หากมีอาการดังกล่าว แสดงว่าหม้อน้ำของคุณรั่ว ให้ทำการซ่อมแซมแก้ไขโดยด่วน หากขับรถที่หม้อน้ำมีปัญหา จะทำให้เครื่องยนต์ของคุณความร้อนขึ้น รถอาจดับกลางทางได้
ตรวจสภาพรถประจำปีและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนขับรถทางไกล
การตรวจสภาพรถประจำปีมีความจำเป็นอย่างมาก การตรวจเช็กสภาพรถก็เหมือนกับการตรวจสุขภาพร่างกาย เพื่อที่จะได้เช็กสภาพอะไหล่รถยนต์ ว่ายังใช้การได้ดีอยู่หรือไม่ และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยคงประสิทธิภาพเครื่องยนต์ ทำให้รถของคุณยังคงใช้งานได้อย่างเต็มสมรรถนะเช่นเดิม และไม่กินน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขับรถทางไกล ยิ่งช่วงนี้น้ำมันแพงอีกด้วย
นอกจากการตรวจเช็กสภาพรถด้านต่าง ๆ แล้ว สุขภาพของผู้ขับขี่ก็สำคัญควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดอาการหลับในขณะขับรถ และช่วยให้สมรรถภาพในการขับรถเต็มที่ โฟกัสกับการขับรถได้ดี เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุน้อยลง และที่ขาดไม่ได้เลยคือประกันรถยนต์ โดยเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 1 ยิ่งผู้ที่ชอบขับรถทางไกลเป็นประจำ จำเป็นมากที่ต้องมีประกันรถยนต์ชั้น 1 ติดไว้ เพราะให้การคุ้มครองสูงสุด และยังให้การคุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณีอีกด้วย พิเศษกว่าเดิม! เมื่อคุณสมัครทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ Rabbit Care เรามีบริการ Roadside Assistance เป็นบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง ให้คุณได้อุ่นใจว่าหากรถเกิดเสีย ต้องการความช่วยเหลือที่ไหน เพียงแจ้งเคลมผ่านระบบ LINE OA ของเรา จะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือตลอด และยังมีบริการ Emergency Coordination ช่วยเหลือเร่งด่วนสำหรับเรียกหน่วยฉุกเฉินไม่ว่าจะเป็น รถพยาบาล ตำรวจ หรือหน่วยกู้ภัย เข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://rabbitcare.com/car-insurance/type1